มะเร็งตับ โรคเงียบที่คนไทยมีอัตราการเสียชีวิตสูงที่สุด โดยเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ในเพศชาย และอันดับ 3 ในเพศหญิง
มะเร็งตับ (Hepatocellular Carcinoma) เกิดจากเซลล์ของตับที่เป็นมะเร็ง เกิดการแบ่งตัวแล้วแพร่กระจายไปยังอวัยวะอื่นๆ โรคนี้จะไม่แสดงอาการในระยะแรก แต่จะแสดงอาการในระยะกลาง-ระยะสุดท้ายแล้ว ทำให้อันตรายอย่างมาก
ปัจจัยเสี่ยงที่ก่อให้เกิด โรคมะเร็งตับ
- ติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี, ซี
- ไขมันพอกตับจากเบาหวาน และโรคอ้วน (Fatty Liver)
- ผู้ป่วยโรคตับแข็ง จากการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์หรือสาเหตุอื่น
- อาหารที่มี Aflatoxin, Nitrites สูง
อาการ มะเร็งตับ
มะเร็งตับระยะแรกๆ มักไม่มีอาการ แต่จะแสดงอาการในระยะสุดท้าย
- ปวดท้อง
- น้ำหนักลด
- คลำเจอก้อนแข็งบริเวณท้องส่วนบน
- ท้องมาน
- ตัวเหลือง ตาเหลือง
- เท้าบวม
มะเร็งตับ มีวิธีการตรวจอย่างไรบ้าง?
วิธีตรวจมะเร็งตับในปัจจุบันมีวิธีใดบ้าง?
- ซักประวัติและตรวจร่างกาย
- ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ (Alpha-Fetoprotein)
- ตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง เช่น ตรวจอัลตราซาวนด์ ตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ CT Scan และตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า MRI
- ตัดชิ้นเนื้อตรวจทางพยาธิวิทยา
การรักษามะเร็งตับ
- การผ่าตัด เช่น ตัดออกบางส่วน หรือปลูกถ่ายตับ สำหรับการผ่าตัดปลูกถ่ายตับ จะสามารถทำได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีก้อนในตับขนาดน้อยกว่า 5 ซม. และต้องมีอายุไม่เกิน 70 ปี
- การทำลายเนื้อเยื่อมะเร็งตับ เช่น ใช้ความร้อนแบบ Radiofrequency Ablation หรือ Microwave Ablation, รักษาด้วยการใช้ความเย็น, และรักษาด้วยการใช้แอลกอฮอล์
- การฉายรังสีจากภายนอกลำตัว เพื่อทำให้แสงรังสีมุ่งเป้าเฉพาะเจาะจงต่อเนื้อเยื่อมะเร็งตับ โดยไม่ให้เกิดภาวะข้างเคียงต่ออวัยวะรอบข้าง
- รังสีวิทยา เช่น การใส่ยาคีโม การใส่สารรังสี เพื่อทำลายชิ้นเนื้อมะเร็งตับ
- ภูมิคุ้มกันบำบัด เช่น PD-1 and PD-L1 Inhibitors และ CTLA-4 Inhibitor
- ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) คือ Kinase Inhibitor และ Monoclonal Antibodies
การป้องกันมะเร็งตับ
- หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่จะทำให้เกิดภาวะตับแข็ง ได้แก่ ลดดื่มแอลกอฮอล์ ลดความอ้วน ควบคุมน้ำหนัก
- ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อป้องกันภาวะไขมันพอกตับ
- ป้องกันการติดเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี และซี
- งดการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน
- ไม่ใช้ของส่วนตัวร่วมกับผู้อื่น
- หากยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบ บี ควรได้รับการฉีดวัคซีน
- หากมีความเสี่ยงควรได้รับการตรวจเช็ก ตามคำแนะนำของแพทย์
“การลดความเสี่ยงมะเร็งตับที่ดีที่สุด
คือการหมั่นตรวจคัดกรองมะเร็งตับเป็นประจำ
โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคไวรัสตับอักเสบ บี และซี
เนื่องจาก 90% ของมะเร็งตับเกิดจากการติดเชื้อ
ไวรัสตับอักเสบ บี และซี ในผู้ป่วยกลุ่มนี้
หากมีมะเร็งตับเกิดขึ้น มะเร็งตับจะโตขึ้น
เป็น 2 เท่าภายในเวลา 3-6 เดือน”