เบาหวาน (Diabetes Mellitus) เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของต่อมไร้ท่อชนิดหนึ่ง ทำให้ตับอ่อนไม่สามารถผลิตหรือหลั่งฮอร์โมนอินซูลินออกมาให้มากเพียงพอ ที่จะใช้เปลี่ยนน้ำตาลที่ร่างกายได้รับจากอาหารพวกแป้งให้เกิดเป็นพลังงานที่ใช้สำหรับเคลื่อนไหว และการทำงานของอวัยวะต่างๆ หรือเก็บสะสมน้ำตาลไว้ในร่างกายทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงมากกว่าปกติ ซึ่งถ้าระดับน้ำตาลสูงขึ้นมากจนเกินความสามารถของไตที่จะกักเก็บเอาไว้ได้แล้ว น้ำตาลส่วนเกินก็จะถูกขับออกมาในปัสสาวะพร้อมกับน้ำ ทำให้ปัสสาวะบ่อย ปัสสาวะมีรสหวาน เราจึงเรียกโรคนี้ว่า ‘เบาหวาน’
โรคเบาหวาน แบ่งออกได้ 2 ชนิด
1. เบาหวานที่ต้องพึ่งอินซูลิน
เกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินไม่ได้เลย มักเป็นกับเด็กเมื่อเป็นอาจมีอาการรุนแรงและเป็นกะทันหัน ผู้ที่เป็นส่วนใหญ่จะผอม การรักษานั้นต้องรักษาด้วยการฉีดอินซูลิน มิเช่นนั้นอาจมีอันตรายถึงเสียชีวิตได้
2. เบาหวานที่ไม่ต้องพึ่งอินซูลิน
เกิดจากตับอ่อนสร้างอินซูลินได้น้อย หรือร่างกายมีการดื้อต่อฤทธิ์ของอินซูลิน มักพบในผู้ใหญ่อายุมากกว่า 30 ปี อาการของโรคอาจมีน้อยหรืออาจรุนแรงได้ ผู้ที่เป็นมักอ้วน ส่วนการรักษานั้น แพทย์จะรักษาโดยให้ยารับประทาน สาเหตุส่วนใหญ่เกิดจากพันธุกรรมเป็นโรคอ้วน ไม่ออกกำลังกาย ดื่มสุรามาก
เกณฑ์วินิจฉัยว่าเป็น โรคเบาหวาน
- เจาะเลือดก่อนอาหารเช้า ระดับน้ำตาล มากกว่า 126 mg%
- เจาะเลือดทั่วไปเมื่อรับประทานอาหารแล้ว ระดับน้ำตาล มากกว่า 200 mg%
อาการของผู้ที่เป็นเบาหวาน
- ปัสสาวะบ่อย จำนวนมาก/ปัสสาวะกลางคืน
- กระหายน้ำ ดื่มน้ำบ่อย
- หิวบ่อย กินจุ
- น้ำหนักลด ผอมลง
- อ่อนเพลีย ซึม
- เป็นแผล/ฝีง่าย แต่หายยาก
- คันตามผิวหนังโดยเฉพาะอวัยวะเพศรวมทั้งตกขาว
- ตาพร่ามัวต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ
- ชาหรือปวดแสบร้อนตามปลายนิ้วมือนิ้วเท้า
สาเหตุที่ตัวเลขผู้ป่วยเบาหวานเพิ่มขึ้นทุกปี
เนื่องมาจากรูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป
และพฤติกรรมการรับประทานอาหารที่ไม่ดีต่อสุขภาพ
แม้ในปัจจุบันความรู้เรื่องสุขภาพทุกคนดีขึ้น
คุมระดับน้ำตาลได้ แต่บางกลุ่มเลือกจะไม่สนใจ
ทำให้การรักษาไม่ได้ผล จนเกิดภาวะ
แทรกซ้อนจากโรคเบาหวาน